วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

โรคมือเท้าปาก


ช่วงนี้ในโลกสื่อสังคมออนไลน์ของไทย โดยเฉพาะของกลุ่มบรรดาคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กวัยเตาะแตะที่เพิ่งจะส่งเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลและโรงเรียนอนุบาล คงจะเต็มไปด้วยข่าวของเด็กอายุประมาณ 3 ขวบที่กำลังน่ารักและไม่ปรากฏว่ามีโรคประจำตัวอะไรมาก่อน เพิ่งกลับมาจากการเที่ยวที่ต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ อยู่ๆ ก็มีอาการไข้และเจ็บคอ จากนั้นเพียง 1-2 วันก็ต้องเข้าโรงพยาบาลและอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วจนต้องเข้าหออภิบาลผู้ป่วยหนัก (ไอซียู) และเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา 
เมื่อได้ทราบข่าวนี้ อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเกิดความตระหนก เพราะตอนแรกเข้าโรงพยาบาลเด็กเองก็ยังดูอาการไม่หนักนัก แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็เกิดอาการหายใจลำบาก เสมหะเป็นฟองปนเลือด หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น ไม่มีชีพจร และวัดความดันโลหิตไม่ได้ แพทย์ต้องช่วยกันปั๊มหัวใจและใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อช่วยให้เด็กคงมีสัญญาณชีพต่อไปได้ รวมถึงได้พยายามให้ยาที่จำเป็นและยาที่มีราคาแพงและสำคัญๆ หลายอย่าง เช่น การให้สารภูมิคุ้มกันอิมมูโนโกลบูลิน (IVIG) การใช้เครื่องช่วยหายใจพิเศษที่จะทำงานแทนปอดและหัวใจ เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและปั๊มนำเลือดสูบฉีดไปส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากขณะนั้นดูเหมือนปอดและหัวใจของเด็กจะไม่สามารถทำงานเป็นปกติได้เลย แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เด็กพ้นจากภาวะวิกฤตได้และต่อมาก็จากไปอย่างสงบ
ทั้งนี้ในตอนแรกรับพบว่า ผลการตรวจวินิจฉัยทางเลือดและทางสิ่งคัดหลั่ง รวมถึงเยื่อบุในโพรงจมูกและในคอเพื่อหาไวรัสทางเดินหายใจ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ไม่พบเชื้อ แต่ต่อมาภายหลังผลการตรวจวินิจฉัยพิเศษด้านพันธุกรรมของไวรัส (PCR) รายงานว่าพบเชื้อเอนเทอโรไวรัสสายพันธุ์ 71 (Enterovirus 71 หรือ EV71) (โรคเอ็นเทอโรไวรัส 71 หรือ อีวี 71) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบว่ามีความรุนแรงในการทำให้เกิดอัตราการตายในเด็กที่ป่วยด้วยโรคมือปากเท้าได้ค่อนข้างมาก
ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามตามมามากมายว่า คุณพ่อคุณแม่จะมีทางใดที่จะรู้ว่าลูกรักกำลังป่วยด้วยโรคนี้ และจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ไหม อีกทั้งมีวิธีใดที่จะป้องกันหรือรักษาให้หายโดยไม่เกิดเรื่องร้ายแรงต่างๆ นี้ได้ไหม ซึ่งหมอขออนุญาตรวบรวมคำถามและคำตอบต่างๆ มาให้ไว้ที่นี้
 

โรตตาแดง

โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยดูแลความสะอาดมือทั้งสอง แล้วมักใช้มือขยี้ตาหรือสัมผัสผิวหนังรอบๆดวงตา จึงทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตา (conjuntiva) ที่คลุมหนังตาบนและล่าง รวมถึงเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว
โรคตาแดงนั้นเป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส แล้วติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัว โดยปกติจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี อาการตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง และต้องได้รับการรักษาที่ถูกวิธี
ทีนี้มาดูกันว่าโรคตาแดง อาการเป็นอย่าไร




1.คันในลูกตา ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเยื่อตาอักเสบจากการแพ้
         2.รู้สึกเคืองตา บ่งบอกถึงภาวะตาแห้ง, มีสิ่งแปลกปลอมในตา, เปลือกตาอักเสบ
         3.แสบตา แสดงถึงอาการของโรคที่เปลือกตา, เยื่อบุตาหรือแก้วตา
4.เป็นเม็ดหรือเจ็บบางจุด อาจเกิดจากฝีที่เปลือกตา หรือกุ้งยิง
 5.ปวดลูกตา อาจเป็นอาการของม่านตาอักเสบ แผลที่แก้วตา ต้อหิน เยื่อหุ้มลูกตาอักเสบ หรือการติดเชื้อรอบลูกตา
         6.กลัวแสง หมายถึงตาสู้แสงไม่ได้จะเคืองตามาก เป็นอาการของม่านตาอักเสบ แผลที่แก้วตา หรือต้อหิน
         7.น้ำตาไหล ลักษณะเป็นหยดน้ำตาใสๆ เกิดจาก เยื่อตาอักเสบเพราะเชื้อไวรัสหรือสารเคมี
         8.ขี้ตาเป็นเมือก มักเกิดจากเยื่อบุตาอักเสบ เพราะการแพ้หรือการติดเชื้อแคลมมีเดีย
         9.ขี้ตาเป็นหนอง เกิดจากเยื่อตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย แผลที่แก้วตา หรือการอักเสบรอบตา ตาแดงร่วมกับโรคของเปลือกตา

7 ขั้นตอนล้างมือให้สะอาด ปราศจากเชื้อโรค


การล้างมือแบบเอามือผ่านน้ำใครๆ ก็ทำได้ แต่คุณรู้ไหมว่าการล้างมือให้สะอาดหมดจด จนปราศจากเชื้อโรคได้นั้น ต้องทำตามวิธีที่ถูกต้อง 7 ขั้นตอนต่อไปนี้
1.ฝ่ามือถูฝ่ามือ เริ่มต้นการล้างมือง่ายๆ ด้วยการถูสบู่ขึ้นมาเล็กน้อยพอขึ้นฟอง ก่อนนำฝ่ามือทั้งสองข้างประกบกันและถูให้ทั่ว จนรู้สึกสะอาด
2.ฝ่ามือถูหลังมือ ปาดฟองสบู่มาที่หลังมือ แล้วล้างมือต่อโดยการใช้ฝ่ามือถูหลังมือและซอกนิ้วให้สะอาด จากนั้นสลับข้าง วิธีนี้จะทำให้ฆ่าเชื้อโรคบริเวณหลังมือที่เรามักลืมกันไป
3.ประกบฝ่ามือถูซอกนิ้ว พลิกมือกลับมาประกบกัน ก่อนจะล้างมือให้สะอาดด้วยการถูซอกนิ้วด้วยสบู่ให้สะอาดหมดจด

สุขภาพปากและฟันที่ดีคืออะไร






สุขภาพปากและฟันที่ดีหมายถึง
            - ฟันที่แลดูสะอาดไม่มีเศษอาหารติดอยู่
            - เหงือกสีชมพู ไม่เจ็บ หรือมีเลือดออกเวลาแปรงฟันหรือขัดฟัน
            - ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปาก

       ถ้าเหงือกมีอาการเจ็บหรือเลือดออกเวลาแปรงฟันหรือขัดฟัน หรือมีปัญหาเรื่องกลิ่นปากตลอดเวลา ควรพบทันตแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหา

       ทันตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคเพื่อสุขภาพปากและฟันที่ดี ตลอดจนแนะนำบริเวณที่ต้องดูแลเป็นพิเศษระหว่างแปรงฟันหรือขัดฟัน

สุขภาพปากและฟันที่ดีจะปฏิบัติได้อย่างไร

       การรักษาสุขภาพปากและฟันที่ดี เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณจะทำเพื่อเหงือกและฟันของคุณ ฟันที่แข็งแรงไม่เพียงแต่จะช่วยให้ดูดีและรู้สึกดีเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้คุณรับประทานได้สะดวก และพูดได้อย่างชัดถ้อยชัดคำอีกด้วย สุขภาพปากและฟันที่ดีจึงมีความสำคัญต่อการความเป็นอยู่ที่ดี

       การดูแลประจำวัน ซึ่งก็คือการแปรงฟันอย่างถูกวิธี จะช่วยป้องกันเกี่ยวกับช่องปาก ทำให้เจ็บตัวน้อยกว่า ประหยัดกว่า และวิตกกังวลน้อยกว่าการที่ต้องรับการรักษาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว

ความหมายของการทำความสะอาดช่องปากคือ


    สะอาด หมายถึง ลดคราบจุลินทรีย์ให้เหลือน้อยที่สุด
    ทั่วถึง หมายถึง แปรงทุกซี่ ทุกด้าน เน้นการแปรงบริเวณขอบเหงือกเป็นสำคัญเพราะจะเป็นจุดหมักหมม ทำให้เกิดโรคในช่องปากได้ง่าย
    สม่ำเสมอ หมายถึง แปรงฟันทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
    ไม่เป็นอันตรายต่อเหงือกและฟัน หมายถึง วิธีการแปรงฟันนั้น ต้องไม่ทำให้ฟันสึก
    ไม่กดขนแปรงอย่างรุนแรงจนเหงือกอักเสบ

ดังนั้น วิธีการทำความสะอาดช่องปาก ให้สะอาดอย่างแท้จริง ประกอบด้วย

การแปรงฟันที่ถูกวิธี หมายถึง
        แปรงฟันทั่วทุกซี่ ทุกด้าน และเมื่อแปรงแล้วฟันจะต้องสะอาดเรียบและลื่น
        เน้นบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง ได้แก่ ฟันกราม และฟันด้านลิ้น
        แปรงสีฟัน เลือกให้พอเหมาะกับช่องปาก ขนแปรงอ่อนนุ่ม ไม่ทำอันตรายกับเหงือกและฟัน ความยาวของขนแปรงคลุมตัวฟัน ประมาณ 1 ถึง 1.5 ของซี่ฟัน
        ยาสีฟัน ที่ใช้ต้องมีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เพราะจะช่วยลดสภาวะความเป็นกรดในช่องปาก และเสริมสร้างความแข็งแรงของตัวฟัน
    การใช้เส้นใยขัดฟัน
        เพื่อทำความสะอาดซอกฟัน ซึ่งเป็นบริเวณที่การแปรงฟัน ไม่สามารถทำความสะอาดได้
        เน้นบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคสูง คือ บริเวณฟันกราม ใช้อย่างน้อย วันละ 1 ครั้ง

ไมเกรน

“ไมเกรน”

ถือว่าเป็นโรคยอดฮิตอันดับต้นๆ ของคนในยุคปัจจุบัน เมื่อมีอาการกำเริบจะทำให้หลอดเลือดภายในกะโหลกศีรษะหดตัว ในขณะที่หลอดเลือดภายนอกกะโหลดศีรษะ เช่น ที่ขมับพองตัว ส่งผลทำให้มีอาการปวดหัวตรงกลาง ตรงขมับ มึนงง เวียนศีรษะ หรือปวดหัวข้างใดข้างหนึ่ง ระยะเวลาปวดตั้งแต่ 4 – 72 ชั่วโมง ซึ่งไมเกรนเกิดจากสิ่งกระตุ้นต่างๆ

สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการไมเกรนได้ มีดังต่อไปนี้

ทางตา : แสงแดด แสงจ้า แสงระยิบระยับ การใช้สายตาเคร่งเครียด หรือลายตา
ทางหู : เสียงดัง เสียงจอแจ
ทางจมูก : กลิ่นต่างๆ อาจเป็นกลิ่นน้ำหอม ควันบุหรี่ เป็นต้น
ทางลิ้น : อาหาร เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล หมูแฮม ไส้กรอก ถั่ว กล้วยหอม ช็อกโกแลต ผงชูรส เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ ยาคุมกำเนิด ยานอนหลับ เป็นต้น
ทางกายภาพ : อากาศที่เย็นจัด ร้อนจัด อบอ้าว อดนอน นอนมาก ร่ายกายเหนื่อยล้า อาการเจ็บปวดต่างๆ เช่น ปวดฟัน ปวดประจำเดือน เป็นต้น
ทางใจ : ความเครียด กังวล ซึมเศร้า